สำหรับคนที่ชื่นชอบสไตล์การแต่งบ้านหรู ๆ เราเชื่อว่าโคมไฟระย้าหรือแชนเดอเรีย (Chandelier) ต้องเป็นหนึ่งของตกแต่งบ้านในฝันแน่ ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วราคาของแชนเดอเรียก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิด เพราะขึ้นอยู่กับดีไซน์ ซึ่งปัจจุบันก็มีให้เลือกหลากหลายทีเดียว เอาเป็นว่ามีข้อมูลอะไรที่น่ารู้ก่อนซื้อแชแชนเดอเรียบ้าง แล้วต่างจากโคมไฟติดเพดานอย่างไร ก็ตามไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
ประเภทของแชนเดอเรีย
- Antler Chandeliers : แชนเดอเรียทรงเขากวาง ทำจากยางไม้ เหมาะสำหรับตกแต่งบ้านสไตล์รัสติกหรือคันทรี แต่ก็ปรับใช้กับบ้านสไตล์คอนเทโพรารีและโมเดิร์นเช่นกัน
- Bowl Chandeliers : โคมของแชนเดอเรียประเภทนี้จะมีลักษณะคล้ายถ้วยวางหงายข้อมูลเพิ่มเติม>>>
- Cage Chandeliers : โคมของแชนเดอเรียที่มีลักษณะเหมือนกรง มีหลากหลายรูปทรง ทั้งทรงเรขาคณิต ทรงโค้ง หรือมีการดัดเป็นรูปร่างอื่น ๆ ที่มีความอ่อนช้อย สวยงาม
- Candle Chandeliers : แชนเดอเรียเลียนแบบสไตล์ดั้งเดิม เพียงแต่มีการปรับดีไซน์เชิงเทียนให้เหมาะกับการใช้หลอดไฟแทนเทียนไขนั่นเอง
ข้อมูลเพิ่มเติม>>>
- Crystal Chandeliers : แชนเดอเรียที่ทำจากคริสตัล เป็นรูปแบบที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ให้ความรู้สึกถึงความหรูหรา อลังการ ปัจจุบันมีหลากสี หลายสไตล์ และใช้วัสดุอื่นผสมกันไปด้วย ข้อมูลเพิ่มเติม>>>
- Drum Chandeliers : แชนเดอเรียที่มีโคมครอบทรงกระบอก ทำจากผ้า โลหะ หรือวัสดุอื่น ๆ ส่วนด้านในก็มีทั้งแบบใช้หลอดไฟหลายหลอดและหลอดไฟหลอดเดียวข้อมูลเพิ่มเติม>>
- Empire Chandeliers : แชนเดอเรียสไตล์ฝรั่งเศสคลาสสิก (Classic French Style) ประดับด้วยสายคริสตัลมากมาย เหมาะสำหรับตกแต่งห้องเพื่อเพิ่มความหรูหราข้อมูลเพิ่มเติม>>>
- Flush Mount Chandeliers : แชนเดอเรียแบบไม่มีก้านแขวน ติดตั้งกับโดยตรง เหมาะกับการตกแต่งในห้องที่มีเพดานต่ำข้อมูลเพิ่มเติม>>>
ข้อมูลเพิ่มเติม>>>
- Lantern Chandeliers : แชนเดอเรียดีไซน์แบบโคมไฟ ตกแต่งรอบโครงเหล็กด้วยกระจก แต่บางรุ่นก็ไม่มี ข้อมูลเพิ่มเติม>>>
ข้อมูลเพิ่มเติม>>>
- Linear Chandeliers : แชนเดอเรียที่มาในรูปแบบโครงเหล็ก ล้อมหลอดไฟด้วยกรอบทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากหรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า เหมาะสำหรับติดตั้งไว้เหนือโต๊ะกินข้าวหรือบาร์ห้องครัวข้อมูลเพิ่มเติม>>>
ข้อมูลเพิ่มเติม>>>
- Mini Chandeliers : แชนเดอเรียขนาดเล็ก เหมาะกับพื้นที่ที่มีขนาดจำกัด เช่น ห้องทำงานหรือมุมกินข้าว
- Orb Chandeliers : แชนเดอเรียที่มีการซ้อนโครงเหล็กวงกลมไว้หลาย ๆ วงในอันเดียวกัน เข้ากับการตกแต่งบ้านได้หลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ลอฟท์หรือโมเดิร์นข้อมูลเพิ่มเติม>>>
ข้อมูลเพิ่มเติม>>>
- Sputnik Chandeliers : แชนเดอเรียที่ตั้งชื่อตามดาวเทียมดวงแรกของโลก ประกอบด้วยกิ่งหลอดไฟหลายดวง มีความสวยงาม แถมยังดูเป็นเอกลักษณ์
- Teardrop Chandeliers แชนเดอเรียที่มีช่วงบนกว้าง ช่วงล่างแคบ ส่วนใหญ่ตกแต่งด้วยแท่งคริสตัล ดีไซน์เรียบหรูข้อมูลเพิ่มเติม>>>
ข้อมูลเพิ่มเติม>>>
- Tiffany Chandeliers : แชนเดอเรียที่ตั้งตามชื่อของกระจกสีที่ออกแบบโดย หลุยส์ คอมฟอร์ท ทิฟฟานี (Louis Comfort Tiffany) เจ้าของทิฟฟานี่ สตูดิโอ (Tiffany Studios) ในนิวยอร์ก สหรัฐฯ ช่วงต้น ค.ศ. 1900 ปัจจุบันมีการดัดแปลงด้วยการเปลี่ยนไปใช้กระจกประเภทอื่น ๆ บ้าง เช่น กระจกสเตนกลาส เป็นต้น
วิธีซื้อแชนเดอเรีย
1. สถานที่
ขั้นตอนแรกในการเลือกซื้อแชนเดอเรียนั้น เราต้องรู้ก่อนว่าจะตกแต่งแชนเดอเรียไว้ที่ไหน ห้องนอน ห้องครัว หรือห้องน้ำ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะนิยมตกแต่งห้องโถงและห้องรับประทานอาหาร และไม่จำเป็นต้องติดตั้งแชนเดอเรียที่จุดกึ่งกลางห้องเพียงอย่างเดียว แต่สามารถติดตั้งไว้เหนือเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ในห้องได้ เช่น เหนือโต๊ะ โซฟา หรือบริเวณที่ต้องการจะทำให้เด่น ก็จะกลายเป็นจุดนำสายตาและทำให้ทั้งห้องดูดีขึ้นได้เช่นกันห้องนั่งเล่น ข้อมูลเพิ่มเติม>>>
ห้องทำงาน ข้อมูลเพิ่มเติม>>>
ห้องอาหาร ข้อมูลเพิ่มเติม>>>
ห้องนอน ข้อมูลเพิ่มเติม>>>
โถงบันได ข้อมูลเพิ่มเติม>>>
2. สไตล์
เมื่อได้สถานที่ที่จะติดตั้งแชนเดอเรียแล้ว ก็ให้เลือกสไตล์ของแชนเดอเรียให้เข้ากับสถานที่นั้น ๆ เพราะแชนเดอเรียถือเป็นส่วนประกอบภายในห้อง ฉะนั้นจึงไม่ควรโดดเด่นหรือดูแปลกแยกจนเกินไป ซึ่งเคล็ดลับง่าย ๆ ในการหาซื้อแชนเดอเรียสไตล์ที่ใช่ ก็ให้เราหาตัวอย่างสัก 2-3 รูป พร้อมกับภาพห้องของเราไปให้คนขายดู ก็ได้ทั้งแนะนำและทำให้เราเลือกแชนเดอเรียได้ง่ายขึ้นแน่นอน แต่อย่างไรก็อย่าซีเรียสกับเรื่องสไตล์มากไป ให้คำนึงถึงความพอใจของตัวเองไว้ด้วย เพราะบางทีสไตล์ดูที่ตรงกับข้ามหรือไม่เข้ากันก็อาจทำให้ห้องออกมาสวยงามถูกใจเราก็ได้ สามารถเลือกดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การตกแต่งบ้านตามสไตล์ต่างๆ>>>
3. ขนาด
เราจำเป็นต้องกำหนดขนาดของแชนเดอเรียออกมาให้เหมาะสมกับพื้นที่ ซึ่งในส่วนของขนาดความกว้างทำได้โดยการวัดความกว้างและความยาวของห้องเป็นฟุต จากนั้นก็นำผลทั้งทั้งสองมาบวกกัน แล้วจึงเปลี่ยนหน่วยจากฟุตเป็นนิ้ว เท่านี้ก็จะได้ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางแชนเดอเรียที่เหมาะสมกับพื้นที่ที่จะติดตั้ง แต่ถ้าหากจะติดตั้งแชนเดอเรียให้พอดีกับโซฟาที่นั่งหรือจุดใดจุดหนึ่งของห้อง ก็ให้เปลี่ยนจากขนาดความกว้างและความยาวรวมของห้องเป็นขนาดของที่นั่งแทน หรือไม่เช่นนั้นก็สามารถวัดจากความยาวของผนังสองฝั่งใกล้ ๆ มาจนถึงจุดกึ่งกลางของที่นั่ง แล้วทำตัวเลขทั้งสองมาบวกกัน เสร็จแล้วก็คูณด้วย 2 เปลี่ยนเป็นนิ้ว เท่านี้ก็จะได้ขนาดของแชนเดอเรียที่เหมาะสม ส่วนสำหรับแชนเดอเรียที่ติดตั้งไว้ในห้องกินข้าว ก็ให้เลือกขนาดประมาณ ½ หรือ 2/3 ของความกว้างโต๊ะ หรือไม่ก็เลือกให้มีขนาดน้อยกว่าความกว้างโต๊ะลงมาประมาณ 12 นิ้ว และเมื่อได้ขนาดเส้นผ้าผ่าศูนย์กลางของแชนเดอเรียที่เหมาะสมแล้ว ความความสูงของแชนเดอเรียก็ต้องคำนวณให้พอดีด้วย โดยให้เราวัดขนาดความสูงของห้องตั้งแต่เพดานลงมาถึงพื้นเป็นฟุต เสร็จแล้วก็คูณด้วย 2.5 หรือ 3 เข้าไป ก็จะได้ขนาดความสูงของแชนเดอเรียที่พอดีกับขนาดห้องแล้ว
4. ความสูง
นอกจากเรื่องขนาดแล้ว ความสูงของแชนเดอเรียก็สำคัญไม่แพ้กัน ให้เราทำการปรับความสูงของด้านล่างแชนเดอเรียให้ห่างจากพื้นห้องต่าง ๆ ประมาณ 7 ฟุต แต่ถ้าหากติดตั้งแชนเดอเรียไว้ในห้องกินข้าว ก็ให้ปรับให้ห่างเหนือโต๊ะกินข้าวขึ้นมาประมาณ 30 นิ้ว ทว่าถ้าเพดานของคุณสูงเกินกว่า 8 ฟุต ก็ให้ปรับแชนเดอเรียให้ห่างจากโต๊ะกินข้าวขึ้นมาประมาณ 36-40 นิ้ว
5. แสงไฟที่ควรใช้
การเลือกแสงไฟสำหรับใช้ในแต่ละห้องก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ซึ่งแสงแต่ละสีนั้นจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยแสงแต่ละสีจะมีอุณหภูมิแสงที่แตกต่างกัน ดังรูปด้านล่างนี้
โดยแสงสีขาว หรือ Daylight จะมีอุณหภูมิแสงที่ 6000K - 6500K แต่การเลือกแสงที่ 6000K จะได้แสงที่ออกขาวกว่าและให้ความรู้สึกสว่างกว่า เหมาะแก่การทำงานหรือการใช้สายตา พื้นที่ๆเป็นโรงเรียน ออฟฟิตทำงาน โรงงานก็จะเหมาะมาก ส่วนแสง 6500K นั้นจะออกสีขาวอมฟ้าซึ่งจริงๆแล้วจะดูไม่สวยเท่า เราจึงแนะนำที่ 6000K
ต่อมาแสงวอร์มไวท์ Warm white จะมีอุณหภูมิแสงที่ 2700K - 3000K แต่เราควรเลือกแสงที่ 3000K เพราะว่าคุณจะได้แสงที่ใกล้เคียงกับแสง Halogen มากกว่า ความนวลของแสงและความสบายตาที่มากกว่า แสงวอร์มไวท์จะให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย และอบอุ่น เหมาะแก่การใช้ภายในบ้านพักอาศัย และห้องนอน ส่วนแสง warmwhite ที่ 2700K นั้น เราไม่แนะนำอย่างยิ่ง เพราะว่าแสง 2700K ของ LED แสงจะออกสีส้มจนเกินไป ทำให้รู้สึกหนักและส้มจนเกินไป โดยที่คนส่วนมากไม่เคยคิดว่าความต่างนิดหน่อยนี้จะทำให้แสงในบ้านและความรู้สึกที่ได้รับแตกต่างอย่างมาก ฉะนั้นเทคนิคที่ดีคือการเลือกใช้แสง 3000K สำหรับ Warmwhite นั้นเอง
สุดท้ายแสงคูลไวท์ Cool/Natural white จะมีอุณภูมิแสงที่ 4000K - 4500K โดยแสงคูลไวท์จะมีโทนสีกึ่งกลางระหว่าง แสง เดย์ไลท์และวอร์มไวท์นั้นเอง โดยแสงคูลนั้นจะออกสีขาวอมชมพูนิดหน่อย ให้ความรู้สึกสบายตา และสว่าง ส่วนมากจะเห็นได้เยอะในห้างสรรพสินค้าต่างๆ แต่ว่าแสงคูลนั้นมีข้อเสียอยู่อย่างเดียวคือหาซื้อหลอดได้ยาก เพราะหลายๆร้านไม่ได้มีสต๊อกเก็บไว้ เวลาหลอดเสียจึงอาจจะหาซื้อยากนิดหน่อย ยกเว้นร้านเราที่ซื้อมาประจำก็จะมีของและสามารถสั่งได้ตลอดโดยไม่ต้องกังวล
6. ความสว่างของห้อง
แน่นอนว่าแต่ละห้องนั้นและการดีไซน์แต่ละแบบนั้น เราต้องการใช้ความสว่างที่แตกต่างกันอย่างแน่นอน หากสไตล์การแต่งบ้านของเรานั้นเน้นไปในโทนมืด เราก็ควรเลือกใช้หลอดไฟดาวไลท์ที่เป็นจำพวก MR16 และเลือกใช้หลอดกำลังไฟที่ไม่มากจนเกินไปซึ่งอาจจะใช้ 5w - 7w กำลังดี หากต้องใช้งาน tracklight ด้วยแล้วก็เลือก tracklight ที่ 12W ก็น่าจะพอเหมาะเช่นกัน ส่วนห้องที่ต้องการแสงสว่างอย่างทั่วถึงนั้น หรือห้องที่ต้องการความสว่างทั่วๆ ชัดๆ ก็อาจจะเลือกใช้โคมไฟดาวไลท์ที่เป็นแนวใส่หลอดขั้วเกลียว E27 และเลือกกำลังไฟที่ 8W -12W - 15W ตามความสว่างที่ต้องการ.
ฉะนั้นอย่าลืมจากข้อที่ 1 คือ สไตล์การแต่งบ้านนั้นสำคัญ ความสว่างที่เหมาะสมก็จะช่วยให้เราดึงความโดดเด่นของสไตล์การแต่งบ้านเราออกมาได้อย่างเต็มที่นั้นเอง
7. ซื้อกับร้านที่มีมาตรฐานและเซอร์วิสที่ดี มีแบบหลากหลาย
เราอยากจะบอกถึงข้อสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามที่คนส่วนใหญ่อาจทำพลาดแล้วต้องมานั้งปวดหัวทีหลัง การซื้อโคมไฟเราควรเลือกซื้อกับร้านที่มีหน้าร้าน มีโชว์รูมและมีมาตรฐานหน้าเชื่อถือ มีของให้ดูเช็คคุณภาพก่อนซื้อได้ อีกทั้งยังมีประวัติการขายที่ยาวนานต่อเนื่อง เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะว่าร้านที่มีมาตรฐานเหล่านี้จะขายสินค้าที่มีมาตรฐานให้กับคุณได้ สินค้าโคมไฟนั้นจะอยู่กับเราไปอีกเป็น 5ปี 10ปี หรือ 20ปี ก็ว่าได้ ฉะนั้นคุณควรซื้อจากร้านที่มีการรับประกันโคมไฟ มีบริการหลังการขายที่ดีและง่ายจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก ในบางกรณีเกิดมีสินค้าแตกระหว่างติดตั้งเราก็ยังสามารถซื้ออะไหล่มาซ่อมได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อสินค้าใหม่ทั้งชิ้น บางคนซื้อจากร้านที่ไม่มีหลักแหล่งก็โดนยัดของไม่มีคุณภาพสุดท้ายเกิดอาการสีลอก สีด่างทำให้โคมไฟดูไม่สวยแล้วก็ต้องซื้อใหม่ภายใน1ปีก็มีให้เห็นเยอะไป
สามารถเข้ามาเลือกโคมไฟ ของแต่งบ้านได้ที่ showroom ของร้าน INTERY ที่ BigC Foodplace หนามแดง สมุทรปราการ(Tel.0985460310)นะคะ หรือ แอดไลน์ติดต่อที่ @284xcbmp
การติดตั้งแชนเดอเรีย
1. ปิดวงจรไฟฟ้าในบริเวณที่เราจะทำการติดตั้งแชนเดอเรีย อย่าลืมบอกให้คนในบ้านรู้ด้วย จะได้ไม่มีใครเผลอไปเปิดในระหว่างที่เราทำอยู่ จากนั้นก็ลองเปิดไฟเพื่อเช็กดูว่าทำการปิดวงจรไฟฟ้าเรียบร้อยดีแล้ว
2. ถอดหลอดไฟหรือโคมไฟอันเก่าออกด้วยไขขวงหรือประแจ แล้วจะพบกับกล่องพักสายไฟและสายไฟ
3. ทำการหมุนเพื่อแกะจุดเชื่อมสายไฟออกแบบทวนเข็มนาฬิกา อย่าลืมจำไว้ด้วยว่าสายไฟเส้นไหนคู่กับเส้นไหน แต่ปกติจะแยกตามสีหรือมีสัญลักษณ์บอกอยู่แล้ว
4. วัดน้ำหนักของแชนเดอเรียที่จะติดตั้ง โดยถ้ามีน้ำหนักเบาก็สามารถยึดติดกับฝ้าได้เลย แต่ถ้ามีน้ำหนักมากก็ให้หาซัพพอร์ต (Fan Brace) มายึดไว้
5. นำไขขวงแงะหรือใช้ค้อนทุบเพื่อถอดกล่องพักสายไฟอันเก่าออก
6. นำเลื่อยหั่นเหล็กยึด อันเก่าออกเป็นสองท่อน แล้วนำไปทิ้ง เพื่อติดตั้งอันใหม่
7. ใส่เหล็กยึดใหม่ที่มีซัพพอร์ต (Fan Brace) เข้าไปในช่องเพดาน โดยให้เหล็กวางแนบติดอยู่กับเพดานด้านบนในลักษณะขวางช่องเอาไว้ จากนั้นก็ดันหนามแหลมด้านข้างเหล็กยึดให้ยึดติดสนิทเข้ากับตงเพดาน พร้อมใช้ประแจหมุนให้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อยด้วย
8. ติดตั้งกล่องพักสายไฟอันใหม่ โดยให้ติดแถบยึด (Mounting Strip) เข้าไปก่อน แล้วจึงใช้นอตล็อกกล่องพักสายไฟเอาไว้
9. ต่อส่วนประกอบต่าง ๆ ของแชนเดอเรียเข้าด้วยกัน พร้อมตัดโซ่ให้ได้ระยะความสูงที่เหมาะสม
10. พันสายไฟของแชนเดอเรียไว้กับโซ่ไปจนถึงปลายโซ่ เพื่อให้เชื่อมต่อเข้ากับสายไฟในกล่องพักสายไฟได้
11. นำแชนเดอเรียไปแขวนแล้วติดตั้งให้มั่นคง พร้อมเชื่อมต่อสายไฟจากแชนเดอเรียและกล่องสายไฟเข้าด้วยกัน
12. เปิดวงจรไฟฟ้า เพื่อเช็กว่าติดตั้งแชนเดอเรียเรียบร้อยหรือไม่ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
prowork ,doityourself, hayneedle, thisoldhouse, wikihow,
sothebysrealty, overstock, delmarfans ,houzz